Friday, September 22, 2006

Giffarine Mom

หมอต้อยเจ้าแม่ "กิฟฟารีน" สอนหญิงแต่งงาน "ไม่ต้องตีตรา"

ข้อมูลและภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์มติชน

พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ เป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่งในสังคมไทย ในวัย 40 เศษวันนี้ แม้ว่าเธอจะหย่าขาดจากคุณหมอ มั่น อุดมพาณิชย์ เจ้าของผลิตภัณฑ์ขายตรงสุพรีเดิร์ม แต่ทั้งสองยังร่วมกันดูแลบุตรสาวสองคนอย่างดี

คุณหมอนลินีเป็นนักธุรกิจหญิงที่ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะช่วงระยะเวลาแค่ 7 ปี เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในแบรนด์ "กิฟฟารีน" ก็เป็นที่รู้จักกันทั่ว เป็นสินค้าไดเร็กต์เซลส์ที่มีอนาคต โดยเฉพาะเครื่องสำอางส่งไปขายในหลายประเทศ

ใครที่เคยพบปะพุดคุยกับหมอต้อย มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง หน้าตาดูอ่อนเยาว์ อารมณ์ดี พูดจาอ่อนหวาน คู่สนทนาจะได้ยินเสียงหัวเราะอันร่าเริงของเธออยู่เสมอ ช่วงคุยกันนั้นเธอมักแทนตัวเองว่า "พี่" ตลอด

เป็นที่รู้กันว่าเจ้าของ บริษัท สกายไลน์ ยูนิตี้ ผู้นี้นับถือศรัทธาพระสุพรรณกัลยามาก เธอบอก "เรานับถือท่าน ไม่ใช่เรื่องของปาฏิหาริย์ แต่เป็นเรื่องของกำลังใจ ถ้าเผื่อเรามีกำลังใจเหมือนท่านเราอาจจะทำอะไรได้ดีได้"

เป็นธรรมดาการทำธุรกิจใหญ่โตย่อมจะต้องเจอะเจอเรื่องเครียด มีปัญหาให้คิดให้แก้ สำหรับหมอต้อยแล้ว เธอมีทางออกที่น่าสนใจ ซึ่งหลายคนอาจจะนึกไม่ถึง

"พี่เป็นคนที่นิสัยไม่ดีตรงที่ไม่ออกกำลัง แต่ความที่งานมันหนักแล้วก็เหนื่อยมาก ว่างเมื่อไหร่ก็นอนเลย แต่เป็นคนที่บริหารอารมณ์ได้ดี คือ ไม่เครียด จะเป็นคนอารมณ์ดี เป็นคนที่อ่านการ์ตูนและเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี สมาชิกกิฟฟารีนจะรู้ว่าพี่เป็นคนร่าเริง มีเรื่องเครียดหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ต้องมาดูว่าแก้ได้หรือแก้ไม่ได้ ถ้าแก้ได้ก็แก้ไปตามเหตุผล ถ้าแก้ไม่ได้ต้องรู้จักวาง อย่าไปคิดอะไรมาก มันได้แค่นี้ เลยไม่ค่อยเครียด

พี่อ่านการ์ตูนพวกพักสมองประเทืองปัญญา แล้วอ่านหนังสือสำหรับเด็กเป็นประจำ อะไรที่เป็นวรรณกรรมยอดนิยมของเด็ก จะอ่านตั้งแต่เด็กถึงเดี๋ยวนี้ เพราะคลายเครียด แต่ก็ต้องดูข่าวต้องตามข่าว"

งานยุ่งๆ มีเวลาให้ลูกไหม

มีค่ะ ความที่บ้านกับออฟฟิศอยู่ในที่เดียวกัน พอลูกกลับจากโรงเรียนมาบ้านก็เล่นกับลูก ฉะนั้นจะอยู่กับลูกได้ทุกวันตอนเย็นๆ ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์ เพราะจะไม่ได้อยู่กรุงเทพฯค่ะ ไปต่างจังหวัดตลอดเลย เขาก็ชิน แล้วลูกจะเป็นคนนิสัยนอนดึกไปด้วย

ลูกสาวที่เป็นออทิสติก รักษาไปถึงไหนแล้ว

น้องฟ้าลูกคนเล็กอายุ 9 ปี เป็นออทิสติก ตอนนี้เรียนอนุบาลโชคชัย เขาพอเขียนได้ รู้จักตัวเลขคร่าวๆ ยังอ่านไม่ได้มาก โรคนี้รักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่เราพยายามดูแลเขาในจุดที่ดีที่สุด แล้วความรุนแรงของโรคก็ไม่เท่ากัน น้องฟ้าเขาจะเป็นคนที่เหม่อ มีสมาธิค่อนข้างสั้น เขาจะเรียนรู้อะไรได้ช้ากว่าอายุของเขา แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นข้อดีคือ เขาจะไม่มีความทุกข์เลย เพราะความที่เขาไม่เหมือนเด็กคนอื่นตรงที่จะไม่มีความรู้สึกว่าจะต้องเรียนหนังสือให้ได้ที่ 1 จะต้องมีความทุกข์ความเครียดเหมือนคนทั่วไป เขาจะมีชีวิตที่มีความสุขไปวันๆ ในโลกของเขา ลูกคนที่ 2 นี้หวังแต่ให้แกมีชีวิตที่มีความสุขแล้วก็ปลอดภัย

เครียดหรือเปล่ากับที่ลูกสาวไม่ปกติ

น้องฟ้าเป็นออทิสติกที่ไม่รู้จักคำว่าความทุกข์เลย เขาจะยิ้มทั้งวัน ไม่อยากได้ของเล่น ไม่อยากไปไหน ไม่อยากได้อะไร จะมีความสุขกับการทานของอร่อยๆ สรุปแล้วคือ ถามตัวเองว่าจะมีความทุกข์ไปทำไม ในเมื่อลูกไม่มีความทุกข์เลย ถ้าเจอเขาจะยิ้มตลอด ลูกก็มีความสุข ถ้าเห็นอะไรอร่อยๆ ยิ่งมีความสุขใหญ่เลย คือเหมือนชีวิตนี้จะว่าไปเหมือนไม่มีกิเลสอะไรเลย นี่คือสิ่งที่ตอบตัวเองกับสังคมเหมือนกัน

ถ้าเรามีลูกเป็นออทิสติก ต้องดูจริงๆ ไม่ใช่ว่าเราละเลยลูก แต่จะมาหวังว่าลูกต้องหาย ทำไมลูกเราเรียน มหาวิทยาลัยไม่ได้ ทำไมต้องมาเป็นกับเราแล้วนั่งร้องไห้ เรื่องนี้ไม่จบ เราจะไม่มีสติปัญญาไปทำอะไรที่สร้างสรรค์ต่อไป พี่มองว่าตรงนี้เป็นกรรมนะ เป็นกรรมที่ทั้งเราทั้งเขาต้องชดใช้ด้วยกัน

ถามว่าวันนี้จะทำอย่างไรให้การชดใช้กรรมครั้งนี้มันลุล่วงไปด้วยดีที่สุด ก็คืออย่ามีความทุกข์กับมัน ก็ต่อสู้มาด้วยสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว น้องฟ้าถูกฝึกให้แกสามารถที่จะอยู่กับสังคมได้

อาการของน้องฟ้าเป็นเพราะตอนตั้งครรภ์เครียดใช่ไหม

ไม่ได้เครียดเลย แต่ตอนมีน้องฟ้ามดลูกพี่บีบ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่ว่าเป็นตั้งแต่ท้องแรก จะไปโทษว่าเป็นเพราะมดลูกบีบก็ต้องเป็นตั้งแต่ลูกคนแรก ช่วงมดลูกบีบต้องนอนโรงพยาบาล 4 เดือนก่อนคลอดเลย แล้วให้ยาทางเส้นเลือดห้ามไม่ให้มดลูกบีบ นอนนิ่งๆ อยู่ 4 เดือน ซึ่งจะโทษว่าเป็นเพราะยาตัวนั้นก็ไม่ใช่ เพราะลูกคนโตก็เหมือนกัน แต่เขาไม่เป็น

น้องฟ้านี่พี่ผสมเทียม เพราะอยากได้ลูกชาย ไม่รู้ว่าปั่นนานไปหรือเปล่า แต่ไม่เคยมีรายงานว่าการผสมเทียมหรือการล้างเชื้อเพื่อจะเลือกเพศทำให้เกิดออทิสติก เราคงไม่ไปโทษสิ่งเหล่านี้ เพราะคนอื่นเขาทำกันก็ไม่มีปัญหาอะไร จะเป็นที่กรรมมากกว่า

เด็กออทิสติกมักจะมีความสามารถพิเศษ

น้องฟ้าจะว่ายน้ำได้เหมือนนางเงือกเลย เขาจะว่ายน้ำแบบที่ไม่ใช่ครูสอน จะไม่มีท่าในการว่ายแบบถูกต้อง เพราะเขาจะไม่ยอมรับคำสอนของใคร เขาอยู่ในโลกของเขาเอง น้องฟ้าว่ายน้ำพลิ้วไปพลิ้วมาแล้วสามารถดำน้ำได้นานและทน และพลิกตัวกลับมาได้เหมือนนางเงือกเลย เล่นน้ำได้ 2-3 ชั่วโมง โดยไม่จม และอยู่ในน้ำลึกตลอดเวลา แล้วว่ายได้เร็วด้วย เขาแข็งแรงมาก นี่เป็นความสามารถพิเศษอันเดียวที่เขามี อย่างอื่นยังไม่เห็น

ทำใจนานไหมกว่าจะยอมรับสภาพลูกสาวคนนี้ได้

ไม่ต้องทำใจเลยเพราะพี่เป็นหมอ เขาดูปกติจนถึง 2 ขวบครึ่ง แต่พอ 2 ขวบครึ่งพัฒนาการเขาหยุด แล้วเขาไม่เหมือนเด็กออทิสติกคนอื่น บางคนจะรู้ได้ตั้งแต่เล็กๆ 6-7 เดือนเขาจะไม่สบตาผู้คน น้องฟ้าจะไม่ อายุ 2 ขวบกว่าเขาสามารถบอกสีได้ทุกสีเลย แต่หลังจากนั้นเขาเริ่มเหม่อ ดูลอยๆ ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับครูที่โรงเรียน พาไปหาอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญคุยไปคุยมารู้ว่าลูกเป็นออทิสติก

รู้สึกเสียใจแต่ว่าไม่ต้องทำใจนาน เพราะคนเป็นหมอกับคนไม่ใช่หมอจะมีความคาดหวังต่างกัน แม่ที่ไม่ใช่หมอจะมีความรู้สึกว่าลูกอาจจะดีขึ้น ลูกจะต้องหายได้ แต่แม่ที่เป็นหมอจะรู้ว่า ไม่หาย แต่ถ้าเราดูแลเขาดี เขาจะไม่แย่ ช่วงที่เขาเป็นแล้วเราไปตรวจเจอเป็นช่วงที่พี่เพิ่งเปิดกิฟฟารีนได้ปีแรกด้วย มันยุ่งมาก พอหันมาดูลูกอีกที ลูกไม่ปกติแล้ว

คุณหมอมั่นยังทำใจได้ช้ากว่า คือยังหวังว่าลูกน่าจะดีกว่านี้ เพิ่งจะมา 2 ปีนี้ที่ทำใจได้

ความสัมพันธ์กับคุณหมอมั่นเป็นอย่างไร

คุณพ่อเขาน่ารักมาก ถึงเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ยังมารับลูกอยู่เสมอแล้วก็รักลูกเอาใจใส่ลูก ลูกสาว 2คนไม่ได้ขาดความรักจากพ่อเลย มารับทุกอาทิตย์ พาไปนอนค้าง พาไปทานข้าว พาไปดูหนัง ลูกจะไม่ขาดตรงนี้ เราไม่ได้ทะเลาะกัน

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือกับทางตระกูลกัลย์จาฤก

ไม่มีมูลความจริงเลย พี่ตั้ม จารึก กัลย์จาฤก เป็นพี่ที่นับถือมาหลายปี มีอะไรที่เราช่วยกันได้เราจะช่วยกันเสมอ

เมื่อไหร่จะมีข่าวดี

ทำงานหนักมากแล้วก็สนุกกับงาน จนคิดว่าเราคงไม่พร้อม คือถ้าเราจะมีชีวิตคู่ใหม่ เราต้องให้เวลาซึ่งกันและกัน ถ้าเราไม่มีเวลาให้เขาก็ไม่แฟร์ ทำงานแค่นี้เหมือนกับเราอยู่กับลูกน้อยแล้ว ถ้าขืนไปมีชีวิตคู่คงต้องแยกกันอีก

วางอนาคตให้ลูกสาวคนโตอย่างไร

ตอนนี้น้องกิฟคนเดียวที่จะเป็นหลักอยู่ แต่พี่ไม่อยากบังคับใจเขา มองว่าให้เขาเห็นเองว่างานของแม่เป็นแบบนี้ พี่มีหลักการที่สอนลูกไม่เหมือนใคร น้องกิฟเรียนหนังสือดี 3.8-3.9 เรียนอินเตอร์ แต่ถ้าเขาเรียนหนังสือแย่ลงก็ไม่เคยว่า

พี่สอนลูกคำเดียวเลยว่า คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ได้อยู่ที่ว่าหนูเรียนเก่งไหม ไม่ได้อยู่ที่ว่าแม่มีมรดกให้หนูมากน้อยแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าหนูสามารถทำให้คนอื่นรักและยอมรับในตัวหนูได้มากน้อยแค่ไหน สิ่งเหล่านี้แม่ทำให้หนูไม่ได้ ต้องทำเอง ถ้าเขาไม่สามารถทำให้คนอื่นในสังคมรักเขาหรือยอมรับตัวเขาได้ ไม่ว่าจะมีมรดกมากน้อยแค่ไหนมีกิจการใหญ่โตแค่ไหน เขาก็รักษาไว้ไม่ได้ รวมทั้งจะไม่มีใครรักเขาและไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ๆ ตัวเขาด้วย นี่คือสิ่งที่สอนเขาเสมอมา

เวลาคนดังแต่งงานกันตอนเลิกกันมักจะมีปัญหาการแบ่งทรัพย์สิน กรณีคุณหมอไม่เห็นมีปัญหานี้

พี่มักจะให้คำแนะนำกับรุ่นน้อง หรือว่าลูกน้องหรือเด็กๆ เสมอว่า เวลาแต่งงานกันอย่าจดทะเบียน เพราะว่าทะเบียนสมรสคือใบมรณบัตร ถ้าวันที่รักกันอยู่มันก็คือสิ่งที่ดีงาม แต่ถ้าวันไหนไม่รักกันมันจะเป็นปัญหา การแต่งงานเป็นการเริ่มต้นชีวิตร่วมกันของคน 2 คนที่อาจจะถูกเลี้ยงดูมาต่างกัน แล้ววันหนึ่งเมื่อมีความรัก ถ้าเป็นความรักที่ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากรักกันล้วนๆแล้วพอมาอยู่ด้วยกันแล้วมีปัญหาอื่นๆ ตามมา เป็นเรื่องของเหตุผลที่ไม่ตรงกัน วันที่ไม่รักกันแล้วทะเบียนสมรสใบนี้จะเป็นปัญหา นี่ไม่ได้เป็นปัญหาของตัวเอง เพราะพี่แยกทางกับคุณหมอมั่นด้วยดี เราไม่ได้มีปัญหาอะไร

บางคนผู้หญิงถูกเอาเปรียบ บางคนผู้ชายก็ถูกเอาเปรียบ ร้องห่มร้องไห้ 3 ปี 4 ปีเลิกกันไม่ได้ แบ่งสมบัติกันไม่ลงตัว และวันหนึ่งอาจจะฆ่ากันตายได้ จะสอนลูกสาวอย่างนั้นด้วยว่าถ้ากิฟรักใคร ดูเขาดีๆ กิฟก็แต่งงานกับเขา แม่ไม่ห้าม แต่ถ้าวันหนึ่งหนูไม่รักเขาก็ต่างคนต่างไป ไม่ต้องจดทะเบียน ไม่ต้องมาคิดว่าหนูมีมากกว่าเขา

วันนี้พี่สอนแบบคนที่มองโลกทะลุ มองสังคมวันนี้ทะลุเลยว่า แต่งงานกันไม่ต้องจดทะเบียน แล้วถามว่ามีความคิดยังไงกับการอยู่กันก่อนแต่งงานพี่ให้อยู่ แต่ไม่ใช่ให้สำส่อนทางเพศ หมายความว่า ถ้ารักกันจริงๆ และแน่ใจจริงๆ จะใช้ชีวิตร่วมกัน จะอยู่ด้วยกันก่อนก็ได้ พี่สอนลูกน้องแบบนี้ด้วย

มองปัญหาการครองคู่ของชาย-หญิงไทยอย่างไร

ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีจุดอ่อน ค่านิยมของโลกผู้ชายจะได้เปรียบอยู่แล้ว มันไม่ยุติธรรม ปัญหาของผู้ชายไทยคล้ายกับผู้ชายญี่ปุ่น เช่น อาจจะดื่มเหล้า ดื่มเมื่อไหร่สติหายเมื่อนั้น ความรับผิดชอบอาจจะหายไป อาจจะมีเรื่องของการเล่นการพนันละมีเรื่องของความรู้สึกในใจว่า เจ้าชู้ไม่ใช่เรื่องเสียหายเพราะว่าเรามีแบบเรียนที่เรียนกันตอน ป.3 ป.4 เรื่องพระอภัยมณีกับขุนช้างขุนแผน 2 แบบเรียนนี้ทำให้เด็กมีความรู้สึกว่า ถ้าใครจะเป็นอย่างพระอภัยมณีกับขุนช้างขุนแผนก็ไม่น่าจะเป็นอะไร

ถามว่าผู้หญิงไทยมีเรื่องนี้ไหม มี ผู้หญิงไทยพอแต่งงานไปแล้วก็ขี้บ่น จะดุ ไม่ดูแลตัวเองแล้วจะคิดว่าแต่งงานแล้วเป็นของตาย ฉันต้องจะเป็นเมียหลวง(หัวเราะ) แต่ผู้ชายเป็นเพศที่ต้องการความอ่อนหวานต้องการการดูแลใกล้ชิด ผู้หญิงพอแต่งงานไปแล้ว มีลูกจะปล่อยตัวมากขึ้น ไม่อ่อนหวานกับสามี พูดกับใครๆ เพราะได้ ยกเว้นพูดกับสามี พอถึงเวลาผู้ชายมีบ้านเล็กก็คิดว่าผู้ชายไม่ดีคนเดียว

พี่มองสองมุมเสมอว่า การแต่งงานคือการบริหารสภาวะทางจิตใจให้เข้ากันทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าเราเลิกโทษว่าผู้ชายไม่ดี หรือเลิกโทษว่าผู้หญิงไม่ดี แล้วหันหน้าเข้ามาหากันว่าเราจะอยู่ด้วยกันและจะปรับตัวให้กันละกันมีความสุขได้อย่างไร ถ้าทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีจุดอ่อนทั้งคู่ มีความยึดมั่นถือมั่น มีความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน ถ้าเมื่อไหร่เริ่มต้นแต่งงานกัน ฉันคือเจ้าของเธอ เมื่อนั้นจบ

ขณะที่ฝรั่งจะไม่ถือว่าเป็นเจ้าของกันและกัน เขาดูกันมาดีก่อนแต่งงานแล้ว หลังจากแต่งงานแล้ว เขาจะอยู่กันด้วยความซื่อสัตย์ จะช่วยกันทุกอย่าง หรือถ้าหย่าแล้วจะไม่ถึงกับฆ่ากันตายเหมือนคนไทย หย่ากันแล้วนี่คือศัตรูชั่วนิจนิรันดร ฆ่ากันตายชั่วนิจนิรันดร

มีหลักอะไรยึดเหนี่ยวเวลามีทุกข์

เป็นคนนับถือพุทธศาสนา แต่ไม่ได้ไปที่วัด ศาสนาพุทธสอนให้เราพึ่งตนเอง ในยามที่มีความทุกข์ เราต้องมองว่า ทุกข์นั้นเป็นอนิจจังมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทำอย่างไรจึงจะทำให้ทุกข์นั้นจางหายไปได้ ต้องยอมรับสภาพในส่วนหนึ่งแล้วหาทางแก้ไขในอีกส่วนหนึ่ง อย่าไปยึดติดกับอะไรมากเกินไป

วันนี้พี่จะไม่ยึดติดกับทรัพย์สินเงินทองเลย และมองว่าอยู่ตรงนี้เรามีความสุข พี่ท่องทุกวันนะ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ท่องเสมอเลยว่าอีกไม่กี่ 10ปีเราก็เอาอะไรไปไม่ได้ วันนี้ เรามีโอกาสเรามีโชค ถือว่าพี่เป็นคนมีวาสนา ตรงที่ว่า ได้ทำงานที่พี่รัก ได้ช่วยคน ได้สร้างกุศล จะไม่รวยก็ช่างมันแต่ว่าถึงเวลาจริงๆ ถ้าวันหนึ่งเราต้องจากโลกนี้ไป เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้ว เราคือคนๆ หนึ่งที่มีชีวิตอยู่โดยไม่เคยเอาเปรียบใคร เราสร้างคุณงามความดีให้กับคนอื่นมากเท่าที่เราจะทำได้ โดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ใจของเราเป็นสุข

วิถีปฏิบัติในชีวิตประจำวันของหมอต้อยน่าสนใจจริงๆ ใครจะลอกเลียนเชื่อว่าเจ้าตัวคงไม่หวงห้าม

Sunday, September 17, 2006

Internet Crime

ในยุคของเศรษฐกิจแห่งปัญญาและการเรียนรู้ ได้เกิดสภาวะของความเหลื่อมล้ำ ในความสามารถและโอกาสของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นผลให้เกิดช่องว่างระหว่างผู้มีข่าวสาร และผู้ไร้ข่าวสาร หรือ ช่องว่างทางดิจิทัล เป็นผลเนื่องจากการแพร่กระจายของเทคโนโลยีสารสนเทศไปยังประชาคมโลกที่ไม่ทั่วถึงและไม่เท่าเทียม ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ของประชาชน ซึ่งจะเห็นได้ชัดมากระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับประเทศที่กำลังพัฒนา

และด้วยเหตุนี้เอง ภาครัฐของไทยจึงหันมาใช้นโยบายการส่งเสริม หรือ "ทั้งผลัก ทั้งดัน" ให้คนไทยนำเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงอินเทอร์เน็ต ไปใช้งานอย่างเต็มที่ โดยหวังที่จะลบช่องว่างแห่งความรู้ระหว่างคนให้หมดไป และด้วยความรีบร้อน และมองภาพเทคโนโลยียุคใหม่เพียง "ด้านบวก" เป็นหลัก โดยไม่ให้ข้อเท็จจริงในด้านลบควบคู่ไปด้วย

ยิ่งกว่านั้น นักพัฒนา “เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต” ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ ให้ก้าวหน้าไปเร็ว ง่ายต่อการใช้ง่าย แต่ยากและซับซ้อนต่อการตรวจสอบมากขึ้นเรื่อยๆ จึงถือเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง แต่ก็ถือว่าได้ผลในด้านการเพิ่มปริมาณผู้ใช้

ทั้งนี้ เพราะในเวลาไม่นานมาก การพัฒนาเทคโนโลยีสื่อออนไลน์ และจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยขณะนี้ในไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแล้วกว่า 13 ล้านคน มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือกว่า 33 ล้านคน และด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้ใช้นี้เอง ทำให้นักฉวยโอกาส หรือพวกที่ต้องการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางทำกิน ก็เริ่มแสดงตนออกมา

ขณะเดียวกัน จากการสำรวจผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต พบว่าพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 3-4 ชั่วโมงต่อวัน แบ่งเป็นใช้งานอีเมลประมาณ 70% และใช้งานด้านข้อมูลข่าวสาร 30% และที่สำคัญมีอีเมลจำนวนไม่น้อยกว่า 50% ที่ถือเป็นเมลขยะ หรือเมลที่มีการชักนำไปในทางที่เสื่อมเสีย และยากแก่การตรวจสอบอย่างยิ่ง เพราะปกติแล้วอีเมลนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว ที่เจ้าหน้าที่รัฐ หรือใครจะเข้าไปตรวจสอบได้อยู่แล้ว

ส่วนผลที่ตามมาในเวลานี้คือ มีนักการค้าหัวใสจำนวนไม่น้อย หันมาใช้สื่ออินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางทำธุรกิจ หรือหาเงิน เริ่มตั้งแต่ การขายบริการทางเพศ การเล่นการพนัน การใช้สื่ออินเทอร์เน็ตหลอกลวงหญิงสาว หรือเด็กไปกระทำมิดี มิร้าย หรือการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตโจมตีผู้อื่นให้เสียหาย

ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในเวลานี้คือ การใช้สื่ออินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางสื่อสารเพื่อก่อการร้าย ซึ่งแม้แต่ละฝ่ายจะเฝ้าระวังแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา สถาบันครอบครัว โดยเฉพาะภาครัฐ จะต้องหันมาทบทวนนโยบายผลักดันการนำเทคโนโลยีไปใช้งานอย่างถูกต้อง ที่สำคัญ การใช้เทคโนโลยีควรถึงหลักคุณธรรม เหมาะสม และถูกต้อง ควบคู่ไปด้วยเสมอ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด...

Saturday, August 19, 2006

การสร้างธุรกิจ

หากจะนับว่าธุรกิจในประเทศไทยตอนนี้มีอยู่กี่ประเภท คงบอกได้เลยว่ามีมากกว่า สองพันแบบ และในแต่ละประเภทธุรกิจก็มีลักษณะการดำเนินการที่แตกต่างกันออกไป เช่นร้านอาหารก็มีหลายประเภท แม้แต่ร้านอาหารไทย ก็ยังแบ่งย่อยว่าจะจับลูกค้ากลุ่มใด ดังนั้นเราบอกได้เลยว่า ทางเลือกของท่านนั้นมีมากมายมหาศาลมาก นี่ขนาดยังไม่ได้นับธุรกิจใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นมา ซึ่งเรามองว่าหากท่านสามารถทำอะไรที่แตกต่างจากคนอื่นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะมีมาก
แต่ปัญหาที่มักจะพบเห็นคือ เจ้าของกิจการมือใหม่หลายๆคน อาจจะประสบปัญหาทุนหมดก่อนที่จะเริ่มมีรายได้เข้ามา นั่นเพราะพวกเขาไม่สามารถแยกระหว่าง “โอกาสทางธุรกิจ” กับ “ความคิดดีๆ” ได้ ในขณะที่นักธุรกิจมือเก่าๆ จะรู้ว่า นี่คือความคิดที่เก๋มาก แต่อาจเป็นไปได้ยากทางธุรกิจ หรือความคิดนี้พอใช้ได้ แม้จะไม่แปลกใหม่นักแต่นำไปดัดแปลงให้เป็นธุรกิจที่ทำเงินได้
อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่เริ่มทำธุรกิจ ก็จะเริ่มจากความคิดดีๆนี่เอง ดังนั้นเราลองมาดูว่า นักธุรกิจส่วนใหญ่เขาได้ความคิดดีในการทำธุรกิจจากที่ใดดังนี้
แหล่งความคิดดีๆ ในการลงทุน
1. มีพื้นฐานมาจากแหล่งที่คุณมีความรู้และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานที่ทำอยู่เป็นประจำ นั่นคือแหล่งข้อมูลที่ดี ที่จะทำให้คุณเกิดแนวความคิดและสามารถจินตนาการให้เกิดเป็นภาพขึ้นมาได้สามารถนำมาพิจารณาประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายด้านในการลงทุน คุณย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่นที่คิดจะทำธุรกิจ และบ่อยครั้งที่งานอดิเรกที่ทำอยู่ก็กลายเป็นตัวนำไปสู่โอกาสที่ก่อให้เกิดธุรกิจได้เช่นกัน
2. ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ที่เกิดจากความต้องการสิ่งใดแล้วไม่ได้ดังปรารถนา พิจารณาให้ลึกซึ้งว่าสิ่งนั้นคืออะไร มองหาความต้องการที่ไม่มีผู้ใดสนองได้เลยก่อน หรือสิ่งที่ได้มาแล้วพบว่ามีคุณภาพไม่ดี การสร้างนิสัยให้รู้จักใช้ความคิดมองหาโอกาส คิดออกมาเป็นเชิงธุรกิจ ย่อมเป็นผลดีแก่ตัวคุณเอง เกิดเป็นความเคยชิน เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ ความคิดนั้นก็สามารถเชื่อมโยงไปกับธุรกิจได้
3. อ่านมากจะช่วยให้หูตากว้างไกล เกิดความรู้และแนวคิดใหม่ ๆ ขึ้นมา สิ่งที่ช่วยในการค้นคว้าหาความรู้มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ วารสาร นิตยสาร หรือสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ผู้ที่สนใจคัดเลือกธุรกิจก็หาอ่านได้จากหนังสือเหล่านี้ โดยศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ สีสัน รสนิยมผู้บริโภค
4. ศึกษาสถิติการนำเข้าสินค้าบางประเภทที่มีอันดับสูงเป็นสินค้าที่มีเทคนิคการผลิตไม่ยุ่งยากซับซ้อน หรือเป็นสินค้าที่สามารถใช้วัตถุดิบและแรงงานภายในประเทศหรือเป็นสินค้าที่ตรงกับความรู้ความชำนาญที่คุณมีอยู่นำมาวิเคราะห์ดูว่า มีทางที่จะลงทุนผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าได้อย่างไร ศึกษาถึงวิธีการที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าการนำเข้า
5. ข้อมูลจากงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล ในแต่ละปีรัฐบาลมีงบประมาณรายจ่ายในการจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ การจัดซื้อของทางราชการเป็นตลาดขนาดใหญ่ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ว่ามีรายการใดบ้างที่น่าลงทุนหนังสืองบประมาณรายจ่ายหาได้จากสำนักงบประมาณ
6. งานแสดงสินค้าและงานนิทรรศการสินค้า เป็นงานที่องค์กรของรัฐหรือเอกชน สมาคม หอการค้า หรือรัฐร่วมกับเอกชนเป็นผู้จัด โดยมุ่งหมายให้บริษัทผู้ผลิตมาร่วมกันจัดแสดงสินค้าในบรเวณที่จัดไว้และติดต่อกับคนกลางค้าส่ง ตลอดจนคนกลางค้าปลีกได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้า อย่างไรก็ดีความรู้จากการดูงานแสดงสินค้าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ดูงานก็ต่อเมื่อดูแล้วคิด จดจำ และนำมาประยุกต์ให้เป็นแบบของคุณ ถ้าดูแล้วผ่านเลยก็จะไม่มีประโยชน์แต่อย่างไร
7. ขอคำปรึกษาจากบุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนหน่วยงานที่สามารถให้คำปรึกษาและแนะนำแก่ผู้สนใจลงทุน หน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ เป็นต้น(ดูภาคผนวกประกอบ) ภาคเอกชนก็มี เช่น บ. เอสเอ็มอีเซ็นเตอร์ ที่จะให้คำปรึกษากับผู้เริ่มต้นธุรกิจฟรี หรือเป็นศูนย์ที่มีการซื้อ-ขายสินค้า ทำให้เรามีโอกาสได้เลือกที่จะทำธุรกิจ หรือธนาคารพาณิชย์ต่าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารจะทราบสถานการณ์ธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี เพราะได้ทำการวิเคราะห์โครงการที่ขอเงินกู้ และธนาคารพาณิชย์ยังมีส่วนงานวิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจอุตสาหกรรม ถ้ามีโอกาสได้ปรึกษาจะทำให้ได้ข้อคิดมากมาย
8. อินเตอร์เนต คือแหล่งข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เดี๋ยวนี้เริ่มที่จะมีเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับ SME เกิดขึ้นมา และเป็นแหล่งของโอกาสดีๆที่ท่านจะเข้าไปดูได้ ผู้ที่มีสินค้าก็สามารถประกาศขาย คนที่สนใจก็ไม่ต้องไปเดินทางไปเสาะหา เพียงเปิดอินเตอร์เนตเข้ามา
ท่านลองใช้เวลาสักระยะเสาะหาความคิดดีๆ ที่พอจะนำมาทำให้เกิดเป็นโอกาสทางธุรกิจ และเริ่มต้นทำธุรกิจกัน ซึ่งความคิดดีๆนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นความคิดของท่านเอง ท่านอาจจะฉุคิดอะไรได้จากเพื่อนที่ชอบโม้อะไรใหม่ๆให้ฟังก็ได้ แต่ขั้นต่อมาก็คือการ แปลงความคิดนั้นให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ หรือพูดง่ายว่า ทำโลกแห่งความฝัน ให้กลายเป็นโลกแห่งความจริง แต่อย่างที่เราทราบกันว่า โลกแห่งความจริงมีความไม่แน่นอนมากกว่า โลกแห่งความฝัน เราจึงต้องมีการวางแผนกันต่อไป